เกมเหย้านัดแรกในสนามปิดของเชลซีจบลงด้วยการคว้าสามแต้มสุดล้ำค่า ได้จากจุดโทษของวิลเลี่ยนในช่วงครึ่งหลัง
จริงอยู่ที่ไม่มีแฟนบอลเข้าชมในสนาม แต่การพบกับทีมท็อปโฟร์เป็นอะไรที่ยังคงเต็มไปด้วยความเข้มข้นและตื่นเต้นอยู่เสมอ และเป็นเชลซีที่คว้าชัยมาได้สำเร็จ
คริสเตียน พูลิซิชทำประตูให้เชลซีขึ้นนำจากการลุยเดี่ยวไปยิงได้ในช่วงก่อนครึ่งแรก ต่อมาทีมเยือนมาได้ประตูตีเสมอจากลูกตั้งเตะของเควิน เดอ บรอยน์ที่ยิงไปเสียบมุมสามเหลี่ยมอย่างสวย
ราฮีม สเตอร์ลิ่ง และพูลิซิชเกือบจะยิงเพิ่มได้ แต่ก่อนที่ VAR จะตัดสินให้แฟร์นานดินโญ่โดนใบแดงและวิลเลี่ยนยิงจุดโทษให้ทีมเชลซีคว้าชัยมาได้สำเร็จ
ขณะที่หลายคนโฟกัสที่การคว้าแชมป์ของลิเวอร์พูล แต่ชัยชนะของเชลซีในครั้งนี้ทำให้เรายังคงมีระยะห่างจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมอันดับที่ห้าเป็น 5 แต้มเหมือนเดิม
ก่อนเกมเริ่ม นักเตะ, ทีมโค้ช และกรรมการร่วมคุกเข่าในสนามเพื่อแสดงพลัง เป็นสัญลักษณ์ในการสนับสนุนการเคลื่อนไหว Black Lives Matter ด้วย
นาทีต่อนาที – ครึ่งแรก
นาที 14 – ซิตี้เป็นฝ่ายครองบอลได้มากกว่าในช่วงแรก แต่ทั้งสองฝั่งยังไม่มีโอกาสได้ทำประตูกันมากนัก
นาที 19 – แฟร์นานดินโญ่โหม่งลุ้น แต่เกปาเซฟเอาไว้ได้
นาที 28 – อลอนโซ่เปิดบอลยาวเข้าไปในกรอบ โดนเคลียร์ได้แต่บอลยังไปเข้าทางให้รอสส์ บาร์คลี่ย์ซัดด้วยซ้าย แต่บอลแฉลบออกข้างไป
นาที 35 – พูลิซิชทะลวงแหวกแนวรับขึ้นไปอย่างรวดเร็วก่อนจะตะบันผ่านมือเอแดร์ซอนเข้าประตูไปอย่างสวย
จบครึ่งแรกเชลซีออกนำก่อน 1-0
นาทีต่อนาที – ครึ่งหลัง
นาที 55 – เดอ บรอยน์ ปั่นฟรีคิกให้ซิตี้ตามตีเสมอสำเร็จเป็น 1-1
นาที 57 – สเตอร์ลิ่งได้ลุ้นต่อ แต่บอลชนเสา ยังคง 1-1
นาที 62 – เชลซีส่งแทมมี่ อับราฮัมลงมาแทนชิรูด์, เอแดร์ซอนจ่ายบอลพลาดไปเข้าทางให้เมาท์ยิงซ้ำ แต่บอลพุ่งออกข้าง
นาที 72 – พูลิซิชเกือบได้ประตูที่สอง วิ่งเข้าไปกระชากหนีเอแดร์ซอนแล้วซัดด้วยซ้าย แต่บอลไม่ตรงกรอบ
นาที 77 – แฟร์นานดินโญ่โดนใบแดงจากจังหวะแฮนด์บอลและเชลซีได้จุดโทษ
นาที 78 – วิลเลี่ยนรับหน้าที่สังหารจุดโทษ ยิงให้เชลซีกลับมานำได้อีกครั้งเป็น 2-1
นาที 90+1 – เชลซีส่งเปโดรและกิลมอร์ ลงมาแทน เมาท์ และพูลิซิช
จบเกม เชลซีคว้าสามแต้มในบ้านตัวเองได้สำเร็จด้วยชัยชนะ 2-1
ความยอดเยี่ยมของวิลเลี่ยน
สองวันที่ผ่านมา วิลเลี่ยนเพิ่งจะต่อสัญญากับสโมสรไปจนจบฤดูกาล และเขาก็มาย้ำความสำคัญของตัวเองกับทีมด้วยการทำประตูที่สองได้ในเกมนี้ รวมถึงการปั้นเกมจากด้านข้าง และกระชากหลบ เดอบรอยน์ที่ประกบเขาด้วยถือเป็นอีกเกมที่แข้งบราซิลเลี่ยนของเรามีบทบาทสำคัญอย่างมาก
เชลซี (4-3-3) : เกปา, อัซปิลิเกวต้า (c), รูดิเกอร์, คริสเตนเซ่น, อลอนโซ่, บาร์คลี่ย์ (โควาซิช น.73), ก็องเต้, เมาท์ (เปโดร น.90+1), วิลเลี่ยน, ชิรูด์ (อับราฮัม น.62), พูลิซิช (กิลมอร์ น.90+1)
สำรองไม่ได้ลงสนาม : กาบาเยโร่, เจมส์, ซูม่า, จอร์จินโญ่, ลอฟตัส-ชีค
ผู้ทำประตู : พูลิซิช น.36, วิลเลี่ยน (จุดโทษ) น.78
ใบเหลือง : อลอนโซ่ น.38
แมนฯ ซิตี้ (4-3-3) : เอแดร์ซอน, วอล์คเกอร์, ลาปอร์เต้ (โอตาเมนดี้ น.73), แฟร์นานดินโญ่ (c), เมนดี้ (ซินเชนโก้ น.59), เดอ บรอยน์, โรดริโก้ (ดี ซิลวา น.55), กุนโดกัน, มาห์เรซ, บี ซิลวา (เฆซุส น.55), สเตอร์ลิ่ง
สำรองไม่ได้ลงสนาม : คาร์สัน, ซาเน่, ดอยล์, ฮาร์วู้ด-เบลลิส, ปาล์มเมอร์
ผู้ทำประตู : เดอ บรอยน์ น.55
ใบเหลือง : เดอ บรอยน์ น.76
ใบแดง : แฟร์นานดินโญ่ น.77
กรรมการ : สจ๊วต แอตเวลล์