ศึกดาร์บี้ แมตช์ท้องถิ่นของเราจะมีขึ้นในวันเสาร์นี้ ไปอ่านสถิติสำคัญก่อนการแข่งขันกับฟูแล่มได้เลย...
เชลซี ไม่แพ้ให้ฟูแล่มในเกมลีกมา 18 นัด นับตั้งแต่การปราชัย 1-0 ที่คราเว่น ค็อตเทจเมื่อเดือนมีนาคม 2006
ความพ่ายแพ้นัดดังกล่าวถือเป็นชัยชนะครั้งเดียวของฟูแล่มเหนือพวกเราใน 33 เกมซึ่งต้องย้อนไปถึงปี 1979 ตอนที่เราเล่นอยู่ในดิวิชั่นสองเก่า
เชลซี มีโอกาสคว้าชัยเกมลีก 6 นัดติดต่อกันเหนือ 'เจ้าสัว' เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่เราเคยทำได้ระหว่างปี 1950 จนถึง 1960
พวกเรามีโอกาสยืดสถิติการไร้พ่ายในลีกที่คราเว่น ค็อตเทจออกไปเป็น 10 นัด (ชนะ 6, เสมอ 3 ใน 9 นัดก่อนหน้านี้)
ชัยชนะขาดลอยที่สุดในลีกระหว่างทั้งสองทีม
เชลซี 4-0 ฟูแล่ม ฤดูกาล 1925/26, 1983/84
ฟูแล่ม 3-1 เชลซี ฤดูกาล 1976/77
ชัยชนะขาดลอยที่สุดในลีกของเชลซีที่บ้านฟูแล่มคือ 4-1 ในฤดูกาล 2004/05
สถิติของเชลซี
ทีมของ แฟรงค์ แลมพาร์ด ทำประตูจากการโหม่งไป 11 ลูกในฤดูกาลนี้ ถือเป็นตัวเลขเดียวกับที่พวกเราทำได้ตลอดซีซั่นที่ผ่านมา
ตัวเลขสำคัญ
สถิติของฟูแล่ม
เจ้าสัวรั้งอันดับที่ 18 ของตาราง เก็บได้ 12 คะแนนจากการลงสนาม 16 นัด พวกเขาต้องการ 3 คะแนนเพื่อกลับไปอยู่ในโซนปลอดภัย แต่มีเกมตกค้างในมือ 2 นัดกับคู่แข่งบางทีม
ผลเสมอกับท็อตแน่มในนัดกลางสัปดาห์ของฟูแล่ม ถือเป็นการเก็บแต้มแรกของพวกเขาในศึกลอนดอน ดาร์บี้ 14 นัดหลังสุดในพรีเมียร์ ลีก
ฟูแล่ม เสมอมา 5 นัดติดในการแข่งขันพรีเมียร์ ลีก ซึ่งเป็นสถิติที่ยาวนานที่สุดตั้งแต่เดือนมกราคม 2007 (เสมอ 6 นัดติดต่อกัน)
ปัจจุบันมีเพียงแค่แมนฯ ยูไนเต็ด (11) และแมนฯ ซิตี้ (8) ที่มีสถิติไร้พ่ายนานกว่าพวกเขาในรายการนี้
พวกเขาไม่แพ้ให้กับคู่แข่งมา 6 นัดติดต่อกันในทุกรายการ นับตั้งแต่ปราชัยให้แมนฯ ซิตี้ 2-1 เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม
ชัยชนะ 2 นัดของฟูแล่มในฤดูกาลนี้เกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน โดยเป็นเกมเหย้าที่แข่งขันกับเวสต์ บรอม และเกมเยือนเลสเตอร์
ฤดูกาลนี้ ฟูแล่ม เก็บคลีนชีตในศึกพรีเมียร์ ลีกยามเล่นเป็นทีมเหย้าไปแล้ว 3 นัด ถือเป็นจำนวนตัวเลขที่เท่ากับที่พวกเขาเคยทำได้ในคราเว่น ค็อตเทจ ตลอดซีซั่น 2018/19
6 นัดที่ผ่านมาในทุกรายการ พวกเขาเสียไปแค่ 3 ประตูนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน
ฟูแล่ม เก็บได้ 6 คะแนนจากการเล่นเป็นทีมเหย้า 8 นัดในฤดูกาลนี้
รูเบน ลอฟตัส-ชีค ไม่สามารถลงเผชิญหน้ากับสโมสรแม่ของเขาได้ แต่ฟูแล่มมีเด็กเก่าของเชลซี ประกอบด้วย สก็อตต์ พาร์คเกอร์, โอลา ไอน่า และไมเคิ่ล เอคตอร์