บทสัมภาษณ์พิเศษจากสตาฟฟ์โธมัส ทูเคิ่ล เราได้ชวนแอนโธนี่ แบร์รี่ มาร่วมพูดคุย…
แอนโธนี่ ในวัยปัจจุบัน 36 ปี ย้ายมาร่วมทัพเชลซี เมื่อช่วงซัมเมอร์ ปี 2020 ในสมัยที่แฟรงค์ แลมพาร์ด เป็นเฮดโค้ช และได้สร้างความประทับใจโดยเฉพาะเรื่องการจบสกอร์ทีม ในระหว่างที่ทำงานร่วมกัน แบร์รี่ มีชื่อเสียงในเรื่องการความเชี่ยวชาญเรื่องการเล่นลูกเซ็ตพีช เขาสร้างผลงานได้น่าประทับใจให้กับเพื่อนร่วมงาน รวมถึงนักเตะอย่างรวดเร็ว
เจ้าตัวยังได้เป็นส่วนหนึ่งในทีมโค้ชของทูเคิ่ลด้วย นับตั้งแต่ที่กุนซือชาวเยอรมันเข้ามาคุมทีมแทนที่ของแลมพาร์ด เมื่อเดือนมกราคม 2021 แบร์รี่เป็นส่วนหนึ่งของทีมโค้ชชุดแชมป์แชมเปี้ยนส์ ลีก, ซูเปอร์ คัพ และคลับ เวิลด์ คัพ แชมปืรายการล่าสุดเมื่อต้นปี ในเวลาเดียวกัน เจ้าตัวยังเป็นทีมงานของทีมชาติเบลเยี่ยม ในระหว่างที่ทำงานให้สิงห์บลูส์ด้วย
เราชวนแอนโธนี่ มาพูดคุยถึงช่วงเวลาสมัยที่เป็นนักเตะตำแหน่งกองกลาง การผันตัวเองมาจับงานโค้ช พร้อมแนวทางที่เขาพัฒนาเรื่องการเล่นลูกตั้งเตะที่ชวนให้หลงใหล ไปจนถึงเหตุผลที่รู้สึกขอบคุณที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของทีมงานทูเคิ่ล...
มาเริ่มกันจากสมัยที่คุณเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ในระหว่างนั้นคุณได้ลงเล่นไปมากกว่า 300 นัด และลงเล่นถึงระดับลีก วัน ช่วงเวลาในตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?
'จริง ๆ แล้วผมไม่ค่อยเอ็นจอยในสมัยที่เป็นนักเตะอาชีพเท่าไร ถ้ามองย้อนกลับไปในตอนนี้นะ แต่มันก็เป็นบทเรียนที่ยอดเยี่ยมสำหรับผมเลย เป็นอะไรที่ช่วยให้ผมได้เตรียมพร้อม ก็ต้องขอบคุณช่วงเวลานั้นด้วย ที่ทำให้ผมมีในตอนนี้ มอบโอกาสให้ผมมาทำงานในระดับนี้ ได้เรียนรู้ว่าตอนนี้อยู่ในลีกระดับล่างนั้นเป็นอย่างไรบ้าง
'บทเรียนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผม แน่นอนว่ามันเป็นสิ่งที่ผมต้องการ กับบทบาทนักเตะอาชีพในตอนนั้น ผมคงจะบอกว่าตัวผมเองในตอนนี้ดีกว่าช่วงเวลานั้นนิดหน่อย ดังนั้น เมื่อผมมองย้อนกลับไปในเส้นทางอาชีพ ความจริงก็คือผมเป็นนักเตะคนหนึ่ง
'ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองมีคุณสมบัติมากพอกับการเป็นนักเตะระดับท็อป บางทีผมอาจจะมีพรสวรรค์ หรือเทคนิคต่าง ๆ ไม่มาก แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมเห็นจากทีมเราในตอนนี้ ผมไม่เห็นอะไรแบบนี้'
เริ่มคิดมาจับงานโค้ชตั้งแต่เมื่อไร?
'ตอนอายุ 24 ผมได้รับบาดเจ็บหนัก ตอนนั้นกระดูกสะบ้าเคลื่อน และได้ยินว่าอาชีพนักเตะของผมใกล้จะจบลง หลังจากนั้น 17 เดือนได้ ผมกลับมาลงสนามอีกครั้ง แต่ผมรู้ตัวเองดีว่าผมจะยืนระยะในแบบเดิมอีกไม่ได้แล้ว นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ผมเริ่มนึกถึงการเป็นโค้ชและเริ่มลองตั้งแต่ตอนนั้นเลย'
'ผมโชคดีด้วย ที่ได้รับบทบาทโค้ชร่วมกับทีมชุดใหญ่ของวีแกน ตั้งแต่อายุ 30 ปี ร่วมกับพอล คุก ในตอนนั้น ผมกลายเป็นโค้ชทีมชุดใหญ่ที่อายุน้อยที่สุดในประเทศเลย ตอนนั้นผมโชคดีที่ผู้จัดการทีมเข้ามาคุยกับผม หลังจากที่เห็นผมทำงานในทีมระดับอคาเดมี่ และไปเข้าร่วมคอร์สต่าง ๆ เขาเป็นคนมอบจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมเติบโตในอาชีพนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย'
ในสมัยที่คุณรับหน้าที่โค้ชครั้งแรกที่วีแกน คุณได้ร่วมงานกับนักเตะระดับซีเนียร์หลายคน ซึ่งรวมถึงรีซ เจมส์ ที่ย้ายมาอยู่กับทีมในรูปแบบยืมตัว ในฤดูกาล 2018/19 ด้วย
'ใช่ครับ เราดึงรีซซี่มาในปีที่สองหลังจากที่เลื่อนชั้นมาจากลีก วัน เขาพูดน้อยกว่าการได้รางวัลแมน ออฟ เดอะ แมตช์ อีกนะ!'
'แต่จริง ๆ แล้ว เขาเป็นนักเตะที่ฝีเท้าโดดเด่นในระดับเดอะ แชมเปี้ยนชิพแบบไม่ต้องสงสัยใด ๆ โดดเด่นมาตั้งแต่สมัยเป็นดาวรุ่ง เราใช้งานเขาลงเล่นในหลาย ๆ ตำแหน่ง ราว ๆ ว่าเขาเป็นนักเตะที่เก่งที่สุดยามที่อยู่ในสนาม ดังนั้น เราเลยจับเขาลงยืนเป็นมิดฟิลด์ ซึ่งเขาก็ทำได้อย่างโดดเด่น'
'หนึ่งปีหลังจากนั้น เรายืมดูชอน สเตอร์ลิ่ง มา ดังนั้น เรามีประสบการณ์ใช้งานนักเตะเชลซีถึงสองคน สำหรับผมแล้ว วีแกนให้โอกาสแรกกับผมได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผมได้ทำงานร่วมกับเฮดโค้ชอย่างพอล คุก ที่ได้สอนอะไรผมมากมาย และได้ให้พื้นที่ในการทำงานกับตัวผม เขาให้เวลาผมได้ฝึกฝีมือในสนามเยอะมาก จนได้ค้นพบตัวเองในฐานะโค้ช ดังนั้น นี่จึงเป็นช่วงเวลาสามปีที่ผมมองกลับไปแล้วเจอแต่เรื่องดี ๆ ครับ'
กับประเด็นที่ว่าชื่อเสียงของคุณเริ่มเป็นที่รู้จักจากความเชี่ยวชาญเรื่องการเล่นลูกเซ็ตพีช คุณได้ความพิเศษนี้มาอย่างไร?
'มันอยู่ในหลักสูตรของยูฟ่า โปร ไลเซ่นต์ ที่ในตอนท้ายของโครงการ คุณต้องทำตัวจบออกมาอย่างหนึ่ง และผมเลือกที่จะดูพวกจังหวะทุ่มในรูปแบบต่าง ๆ อย่างในสมัยอยู่กับวีแกน เราพยายามจะใช้โอกาสครอบครองเกมเป็นหลัก และในฐานะโค้ช ผมพยายามจะหาพื้นที่ตรงนี้เพื่อนำมาพัฒนากับทีมในเดอะ แชมเปี้ยนชิพ และเพื่อให้เห็นว่าเราจะครองบอลได้มากขึ้นจริงไหม
'ผมเริ่มจากการมองหาวิธีการที่แตกต่างกันออกไปในหลาย ๆ วิธี จนในที่สุดก็มาถึงลูกเซ็ตพีช - เราจะเล่นฟรีคิกหรือว่าลองใช้การทุ่ม? - นั่นคือจุดที่ผมลองคิดถึงเรื่องการทุ่มบอล และเริ่มศึกษาเพิ่มเติม ผมเคยอ่านเจอว่าลิเวอร์พูลจ้างโค้ชที่เน้นการทุ่มบอล และผมก็อยากรู้ต่อว่าพวกเขาสำคัญแค่ไหน
'เราทำการวิเคราะห์มาตลอดทั้งฤดูกาลพรีเมียร์ ลีก และลองพิจารณาเฉพาะเรื่องของการทุ่มบอลทั้งหมด 17,000 ครั้ง ผลการวิเคราะห์บางส่วนชี้ว่าการทุ่มบอลได้เปลี่ยนรูปแบบของเกมฟุตบอลไปสู่อีกแง่หนึ่งได้ โดยเฉลี่ยแล้วทุก ๆ สองนาทีในเกม จะมีการทุ่มบอลเกิดขึ้นหนึ่งครั้ง และถ้าเกิดคุณลองคิดแบบเฉลี่ยเฉพาะครึ่งเวลา ก็จะเห็นอิมแพ็คต์ของมัน'
ในระหว่างที่คุณเรียนใบอนุญาตยูฟ่า โปร ไลเซ่นต์ คุณมีโอกาสได้พัฒนาความสัมพันธ์กับแฟรงค์ แลมพาร์ด และภายหลังคุณได้ย้ายมาร่วมทีมเชลซี...
‘ผมใช้เวลาอบรมไปทั้งสิ้นสองปี ร่วมกับแฟรงค์ แลมพาร์ด และจอร์ดี้ โมริส ซึ่งโทรศัพท์จากแฟรงค์ดังขึ้น แน่นอนว่ามันเกี่ยวข้องกับเชลซี เขาบอกว่าเขาสนุกกับงานที่ผมทำ และช่วงปลายฤดูกาล เราคุยกันมากพอสมควร
'จากนั้นช่วงซัมเมอร์ หลังจบโปร ไลเซ่นต์ เขาก็เข้ามาคุยกับผม วีแกนก็เริ่มการเจรจา แม้ว่าเราจะทำผลงานในเดอะ แชมเปี้ยนชิพได้ดีก็ตาม และแน่นอน เป็นช่วงเวลาที่ผมวุ่นวายใจเอามาก ๆ แต่มันก็จบลงด้วยการที่ผมย้ายมาร่วมทีมเชลซี นี่เป็นเรื่องที่ผมอยากจะขอบคุณแฟรงค์เลย'
โอกาสอื่น ๆ ยังเข้ามาหาคุณอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเวทีระดับนานาชาติที่คุณเคยร่วมงานกับสาธารณรัฐไอร์แลนด์ และล่าสุดกับเบลเยี่ยม บทบาทเหล่านี้มาได้อย่างไร?
'กับไอร์แลนด์ เริ่มจากการที่พวกเขาคิดว่าผมน่าจะออกตามแฟรงค์ พวกเขาแต่งตั้งผมให้เป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีม และเมื่อพวกเขารู้ว่าผมจะยังคงอยู่ร่วมกับโธมัส สโมสรก็คอยอำนวยความสะดวกให้ผมได้ทำทั้งสองบทบาท ในฐานะโค้ชหนุ่มที่อยู่ในช่วงหาประสบการณ์และพัฒนาต่อไป
'ก็เป็นประสบการณ์ที่วิเศษมาก และผมหลงรักมันในทุก ๆ นาทีเลย พวกเขามีกันหลายคน มีคนที่ทำงานอย่างผม และด้วยสปิริตทีมที่ทำให้ทุกสิ่งอย่างออกมาสมบูรณ์แบบ ทำให้คุณรักในการทำงานกับพวกเขา
'จากนั้นก็ได้โอกาสมาร่วมงานกับโรแบร์โต้ มาร์ติเนซ เบลเยี่ยมดูงานที่ผมทำ และเข้ามาพูดคุยกับผมเมื่อช่วงเดือนมกราคมปีนี้เลย ผมอำลาไอร์แลนด์ด้วยใจที่หนักแน่น แต่ผมก็รู้สึกว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่ได้เข้ามาทำงานกับทีมระดับโลก และได้ไปเล่นฟุตบอลโลก'
หลังการย้ายเข้ามาคุมทีมของโธมัส ทูเคิ่ล ในเดือนมกราคม 2021 คุณกลายเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มโค้ชชุดใหม่ทันที และเป็นกำลังสำคัญนับแต่นั้นมา ผ่านมาแล้ว 18 เดือน เป็นอย่างไรบ้าง ที่ได้ร่วมงานกับโธมัส และทีมงานของเขา?
'ตอนนี้ผมแทบจะเป็นคนเยอรมัน และคอยแนะลูกทีมด้วยสำเนียงสเก๊าซ์! [สำเนียงท้องถิ่นในลิเวอร์พูล] ผมโชคดีมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมงานชุดนี้ การพูดถึงพวกเขาและงานที่พวกเขาได้ทำไม่ใช่จุดเริ่มต้นในการสนทนาที่ดี เพราะการพูดถึงพวกเขาในฐานะคนคนหนึ่ง ถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
'จากโธมัส ถึงอาร์โน [มิเชลส์], เบนนี่ [เวเบอร์] และจอจี้ [ซอยด์ โลว] ทุกคนคือระดับท็อป ไม่ว่าจะทั้งตอนที่อยู่กับผม รวมถึงตอนที่ทำหน้าที่สตาฟฟ์ ผมรู้สึกขอบคุณทุกคน
'แนวทางการทำงานที่พวกเขาทำขึ้น สำหรับโค้ชอายุน้อยอย่างผมคืออยู่ใกล้ ๆ คอยช่วยเหลือและแชร์ไอเดียของผมเองลงไปในวง ระดับเวิลด์คลาสเขาทำกันแค่นี้เลย'