เชลซี ผ่านเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ เป็นครั้งที่ 4 ในรอบ 5 ฤดูกาล จากประตูอันยอดเยี่ยมของ ฮาคิม ซิเยค และความพยายามอันเยี่ยมยอดของทุกคนในทีม

เดอะ บลูส์ คู่ควรกับชัยชนะในนัดนี้หลังจากที่ได้แสดงความพยายามตอนที่เกมยังเสมอกัน และจำกัดโอกาสการทำประตูของจ่าฝูงพรีเมียร์ ลีกเอาไว้ได้น้อยนิด

ประตูชัยเป็นจังหวะการเข้าทำที่คู่ควร บอลมาจากการจ่ายด้วยเท้าซ้ายของ เมสัน เมาท์ จากนั้น ติโม แวร์เนอร์ ถวายพานให้กับ ซิเยค ถือเป็นการเข้าทำที่คล้ายคลึงกับจังหวะที่เราซัดใส่แอตเลติโก้ มาดริด ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์เมื่อเดือนที่แล้ว

ในด้านของเกมรับ เชลซีเล่นกันได้อย่างโดดเด่น โดยรักษาการจบสกอร์ของคู่แข่ง ทำให้ เกปา มีงานอันน้อยนิดที่ต้องทำ

โธมัส ทูเคิ่ล จะเป็นผู้จัดการทีมชาวเยอรมันคนแรกที่ได้คุมทีมลงแข่งขันเอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ นอกจากนี้เจ้าตัวยังได้ดื่มด่ำความสำเร็จครั้งแรกเหนือ เป๊บ กวาร์ดิโอล่า อีกด้วย แต่สิ่งที่จะทำให้กุนซือของเราดีใจที่สุดคือผลงานในนัดนี้ หลังจากเจ้าตัวขอให้นักเตะแสดงให้เห็นว่า 'สามารถลดช่องว่าง' กับแมนฯ ซิตี้ ตลอด 90 นาที เหล่าผู้เล่นสิงห์บลูส์ได้ตอบรับคำเรียกร้องดังกล่าว

การเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ครั้งที่ 15 ในประวัติศาสตร์ รอพวกเราอยู่ในเดือนหน้า!

การจัดทัพ

เกปา ที่ลงเฝ้าเสามาตลอดในรายการเอฟเอ คัพ ได้ออกสตาร์ตอีกครั้ง การเปลี่ยนแปลง 2 ตำแหน่งที่เหลือจากเกมกลางสัปดาห์เกิดขึ้นในแนวรุก โดย ซิเยค และ แวร์เนอร์ ได้ลงเล่นแทน คริสเตียน พูลิซิช และ ไค ฮาแวร์ตซ์ บิลลี่ กิลมอร์ มีชื่อเป็นตัวสำรอง แต่ แทมมี่ อับราฮัม ไม่มีส่วนร่วมในขุมกำลังวันนี้

กวาร์ดิโอล่า ปรับทัพ 8 ตำแหน่ง โดยมีเพียงแค่ เควิน เดอ บรอยน์, รูเบน ดิอาส และ โรดริโก้ ที่ได้ลงตัวจริงต่อจากเกมที่เอาชนะดอร์ทมุนด์เมื่อกลางสัปดาห์

นาทีต่อนาที - ครึ่งแรก

นาทีที่ 6 - เชลซี ส่งบอลตุงตาข่ายได้ก่อนเลย เป็นจังหวะที่ ชิลเวลล์ กระดกจากริมเส้นด้านซ้ายไปให้ แวร์เนอร์ หลุดขึ้นมาได้ลากรอจังหวะที่ ซิเยค เติมมาแล้วจ่ายไปให้ ก่อนปีกชาวโมร็อกกัน แปสวนตัว สเตฟเฟ่น เข้าประตู แต่ไลน์แมนตีธงจับล้ำหน้า แวร์เนอร์ ไปก่อน

นาทีที่ 10 - ซิตี้ ได้โอกาสบ้าง เป็น เชซุส ครองบอลแถว ๆ เส้นเขตโทษด้านซ้าย ก่อนตัดสินใจปั่นด้วยขวา แต่ยังตรงตัว เกปา รับเอาไว้ได้สบาย

นาทีที่ 19 - เชลซี ได้ลุ้นประตูอีกครั้ง เป็นจังหวะที่ เจมส์ ลากบอลทางฝั่งขวา แล้วครอสเข้ามาด้านในให้กับ ชิลเวลล์ ที่ยืนอยู่โล่ง ๆ ได้ฮาล์ฟวอลเล่ย์ แต่จังหวะยิง ชิลลี่ ซัดไปโดนหน้าแข้งทำให้บอลหลุดออกเสาหลังไปอย่างน่าเสียดาย

นาทีที่ 34 - จังหวะเตะมุมฝั่งขวา บอลเข้ามาถึง ชิลเวลล์ ในเขตโทษ ก่อนแบ็คซ้ายชาวอังกฤษ คายมานอกกรอบให้ เจมส์ วิ่งมาปั่นสวนด้วยขวา บอลพุ่งน่ากลัวแต่ยังไม่ตรงกรอบ

นาทีที่ 45 - "เรือใบสีฟ้า" มาได้โอกาสก่อนจบครึ่งแรก เป็นจังหวะต่อเนื่องจากลูกเตะมุม สเตอร์ลิ่ง ได้บอลบอกเขตโทษด้านซ้าย แล้วโยนกลับมาให้ แฟร์นานดินโญ่ ได้โหม่ง แต่หลุดเสาออกไป

นาทีต่อนาที - ครึ่งหลัง

นาทีที่ 48 - เควิน เดอ บรอยน์ มีอาการบาดเจ็บแล้วเล่นต่อไม่ไหว กวาร์ดิโอล่า ส่ง ฟิล โฟเด้น ลงมาแทน

นาทีที่ 51 - โฟเด้น ที่เพิ่งลงสนาม ตักบอลจากฝั่งขวามาให้ เชซุส โหม่งตั้งกะให้ สเตอร์ลิ่ง จบสกอร์แต่บอลโดนบล็อคของ เจมส์ เปลี่ยนทางเข้ามือ เกปา รับเอาไว้ได้

นาทีที่ 55 - จังหวะสวนกลับเร็วของเรา เมาท์ ออกบอลให้ แวร์เนอร์ ใช้ความเร็วทางฝั่งซ้ายแล้วถวายพานเข้าในให้ ซิเยค ที่เหมือนถลำไปแล้วแต่ยังล้มตัวสไลด์ส่งบอลตุงตาข่าย เชลซีออกนำ 1-0!

นาทีที่ 59 - จังหวะบอลโยนยาวของเรา ซิเยค ควบมากับ ดิอาส แต่กองหลังซิตี้ล้มตัวสกัดไม่โดน ทำให้ปีกชาวโมร็อกกันได้หลุดเข้าไปดวลเดี่ยวกับ สเตฟเฟ่น แล้วตัดสินใจยิงด้วยขวา แต่ยังโดนสกัดไว้ได้

นาทีที่ 69 - ลูกเตะมุมทางฝั่งขวาของซิตี้ โฟเด้น เปิดเข้าในมาด้วยเท้าซ้ายถึงหัว โรดรี้ โขกชงเข้าไปแล้ว ดิอาส ได้โหม่งจากระยะเผาขนแต่กดไม่ลง บอลข้ามคานออกไปเยอะ

นาทีที่ 70 - โธมัส ทูเคิ่ล ถอด เมาท์ ออกมาพัก แล้วให้ พูลิซิช ลงเล่น หวังสร้างความอันตรายด้วยสปีดของปีกแดนลุงแซม

นาทีที่ 77 - สิงห์บลูส์ ได้สวนกลับอีกครั้ง เป็น แวร์เนอร์ กระชากมาเองจากกลางสนามถึงเขตโทษแล้วโดนบีบให้ไปทางซ้าย สุดท้ายมุมเหลือนิดเดียวก่อน ติโม ยิงเบา ๆ ด้วยเท้าซ้าย โดน สเตฟเฟ่น รับเอาไว้ได้ไม่มีปัญหา

นาทีที่ 82 - ซิตี้ บุกแหลกหวังทวงประตูตีเสมอแล้วมาได้สับไกจากนอกกรอบ เริ่มจาก โฟเด้น จ่ายให้ โรดรี้ แล้วมีพื้นที่นิดหน่อยจึงตัดสินใจกดด้วยขวา แต่ยังตรงตัว เกปา รับเข้าซอง

นาทีที่ 84 - ซิตี้ มาอีกระลอก คราวนี้ กานเซโล่ ตักบอลเข้าเขตโทษให้ เชซุส พยายามเกี่ยวลงแต่ไม่มีช่องจึงดีดกลับทาให้ สเตอร์ลิ่ง วิ่งมาอัดด้วยซ้ายแต่บอลโด่งออกไปไกล

นาทีที่ 90+3 - พวกเราเกือบได้ประตูตอกฝาโลง เป็นจังหวะที่ เอแมร์ซอน โหม่งบอลให้ พูลิซิช ลากตัดจากด้านซ้ายเข้ากลาง แล้วยิงผ่านมือ สเตฟเฟ่น ตุงตาข่าย แต่ไลน์แมนยกธงล้ำหน้าอีกครั้ง

หมดเวลาการแข่งขัน เราจะต้องเจอกับเลสเตอร์ ซิตี้ หรือเซาท์แธมป์ตัน ในเอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศในวันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม!

นัดถัดไป?

โฟกัสตอนนี้จะกลับไปที่พรีเมียร์ ลีก หลังผ่านเกมบอลถ้วยมา 2 นัด โดยพวกเรากลับไปเปิดสแตมฟอร์ด บริดจ์คืนวันอังคารเจอกับไบรท์ตัน จากนั้นเป็นเกมที่มีค่า 6 คะแนนสำหรับการลุ้นท็อปโฟร์ที่บ้านของเวสต์ แฮมในวันเสาร์หน้า

เชลซี (3-4-3): เกปา; อัซปิลิเกวต้า (c), ธิอาโก้ ซิลวา (ซูม่า 88), รูดิเกอร์; เจมส์, จอร์จินโญ่, ก็องเต้, ชิลเวลล์; ซิเยค (เอแมร์ซอน 79), แวร์เนอร์ (ฮาแวร์ตซ์ 79), เมาท์ (พูลิซิช 70)ตัวสำรองไม่ได้ลงสนาม กาบาเยโร่, อลอนโซ่, กิลมอร์, ฮัดสัน-โอดอย, ชิรูด์ผู้ทำประตู ซิเยค 55ใบเหลือง เจมส์ 34, อัซปิลิเกวต้า 90

แมนฯ ซิตี้ (4-2-3-1): สเตฟเฟ่น; กานเซโล่, ลาปอร์ต, ดิอาส, เมนดี้; แฟร์นานดินโญ่ (c), โรดรี้; ตอร์เรส (กุนโดกาน 64), เดอ บรอยน์ (โฟเด้น 48), สเตอร์ลิ่ง; เชซุสตัวสำรองไม่ได้ลงสนาม เอแดร์ซอน, อาเก้, วอล์คเกอร์, ซินเชนโก้, สโตนส์, ซิลวา, มาห์เรซใบเหลือง แฟร์นานดินโญ่ 65, ลาปอร์ต 90+2

ผู้ตัดสิน ไมค์ ดีน