เชลซี ผ่านเข้าชิงชนะเลิศรายการแชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นครั้งที่ 3 ในประวัติศาสตร์สโมสร ต้องขอบคุณประตูจาก ติโม แวร์เนอร์ และ เมสัน เมาท์ เช่นเดียวกับผลงานอันโดดเด่นโดยรวมจากนักเตะสิงห์บลูส์ทุกคนที่สแตมฟอร์ด บริดจ์!
อันที่จริงแล้ว สกอร์ในนัดนี้ควรจะขาดมากกว่านี้ โดยโอกาสเหน่ง ๆ หลายครั้งในครึ่งหลังลอยหลุดมือไปขณะที่พวกเราพยายามยิงหนีห่างหลัง ติโม แวร์เนอร์ ใส่สกอร์ให้ทีมขึ้นนำในช่วงครึ่งชั่วโมงแรกของการแข่งขัน ลูกชิพของ ไค ฮาแวร์ตซ์ ลอยไปชนคาน แต่เป็นเพื่อนร่วมชาติเยอรมันของเขา ที่ตามไปเก็บตก โหม่งต่อ ๆ ตุงตาข่าย
เอดูอาร์ เมนดี้ ได้ออกแรงเซฟในสองจังหวะของ คาริม เบนเซม่า เซฟแรกเกิดขึ้นก่อนที่ แวร์เนอร์ จะทำประตู ทำให้เรายังเป็นฝ่ายครองเกมเสียส่วนใหญ่ ขณะที่ในครึ่งหลังเรอัล มาดริด ไม่มีลุ้นอะไรมากนัก
เมาท์, ฮาแวร์ตซ์ และ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ พลาดในจังหวะการหลุดไปดวลเดี่ยวกับผู้รักษาประตู ทำให้มีความตึงเครียดในช่วงท้ายเกมเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม พวกเรามาคลายความกดดันและได้ฉลองกันสุดเหวี่ยง เมื่อ เมาท์ จบสกอร์จากการครอสเรียดของ คริสเตียน พูลิซิช ขณะที่เวลาเหลืออีก 5 นาที
โดยรวมแล้วถือเป็นฟอร์มอันยอดเยี่ยมของเชลซี ทั้งปิดเกมรุกของคู่แข่ง และเปลี่ยนโอกาสที่สร้างขึ้นมาได้ให้กลายเป็นประตู
สำหรับรอบชิงชนะเลิศ เชลซีจะเจอกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ในเมืองอิสตันบูล แข่งขันวันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พร้อมเป้าหมายที่สิงห์บลูส์ จะทำซ้ำความสำเร็จในมิวนิคที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 9 ปีที่แล้ว!
การจัดทัพ
ฮาแวร์ตซ์ ลงแทน พูลิซิช คือการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งเดียวของเชลซีจากชุดที่บุกเสมอกับมาดริดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แวร์เนอร์ ถูกโยกไปยืนฝั่งซ้าย ขณะที่ เซซาร์ อัซปิลิเกวต้า ประจำการในตำแหน่งวิงแบ็คขวาต่อไป
โทนี่ รูดิเกอร์ สลัดอาการบาดเจ็บบริเวณใบหน้าที่ประสบจากเลกแรก แล้วลงเล่นพร้อมสวมหน้ากาก โดยรวมแล้วมีการเปลี่ยนแปลง 4 ตำแหน่งจากทีมที่เอาชนะฟูแล่มได้เมื่อวันเสาร์ เป็น รูดิเกอร์, จอร์จินโญ่, ก็องเต้ และ อัซปิ ที่กลับมาเป็นตัวจริง
เอเด็น อาซาร์ ออกสตาร์ตให้กับเรอัล มาดริด เช่นเดียวกับ เซอร์จิโอ้ รามอส และ เฟอร์ลานด์ เมนดี้ หลังพ้นจากอาการบาดเจ็บ ไลน์อัปของพวกเขายืนด้วยรูปแบบ 4-3-3 โดย วินิซิอุส จูเนียร์ คอยสนับสนุน อาซาร์ และ เบนเซม่า ในเกมรุก
สายฝนหยุดลง พร้อมแสงสว่างที่งดงามภายในสนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ เชลซีเขี่ยลูกเริ่มเกม บุกเข้าใส่อัฒจันทร์ฝั่งเดอะ เชด เอนด์
นาทีต่อนาที - ครึ่งแรก
นาทีที่ 8 - เบน ชิลเวลล์ ประสานงานกับ ติโม แวร์เนอร์ ได้สวย จนหัวหอกชาวเยอรมัน ได้โอกาสหลุดเข้ากรอบเขตโทษ แต่ เซอร์จิโอ้ รามอส ยังดักทางทำลายจังหวะเอาไว้ได้
นาทีที่ 10 - ทีมเยือนได้โอกาสบ้าง เป็น โทนี่ โครส ลองยิงจากนอกกรอบเขตโทษ บอลพุ่งเข้าเสาแรกแต่ เอดูอาร์ เมนดี้ ยังรับเอาไว้ได้สบาย
นาทีที่ 11 - เชลซี มาได้โอกาสบ้างในจังหวะที่ โทนี่ รูดิเกอร์ เติมขึ้นมายิงไกล เดือดร้อน ธิโบต์ คูร์กตัวส์ ต้องปัดออกไปแบบหวุดหวิด แล้วจังหวะต่อเนื่อง เมสัน เมาท์ หาโอกาสกึ่งยิงกึ่งผ่านเข้ากลางประตู แต่ก็ยังโดน คูร์กตัวส์ ล้มตัวเซฟเอาไว้ได้อีก
นาทีที่ 14 - จอร์จินโญ่ โดนใบเหลืองแรกของเกมนี้จากจังหวะการทำฟาวล์ใส่ เอเด็น อาซาร์ แถว ๆ กลางสนาม
นาทีที่ 17 - นาน ๆ เรอัล จะได้ต่อบอลขึ้นมา คราวนี้ วินิซิอุส จ่ายให้ ลูก้า โมดริช ลากเข้าเขตโทษแล้วลองสับจากระยะประมาณ 25 หลา บอลพุ่งเรียดเข้าซอง เมนดี้
นาทีที่ 18 - “สิงห์บลูส์” ส่งบอลเข้าสู่ก้นตาข่ายได้ก่อน เริ่มจาก เมาท์ ไหลออกทางซ้ายให้กับ ชิลเวลล์ วิ่งเติมขึ้นมาเปิดยัดเข้ากลางให้ แวร์เนอร์ ได้พุ่งมาจบสกอร์ด้วยเท้าขวาผ่านมือ คูร์กตัวส์ แต่โดนจับเป็นลูกล้ำหน้าไปก่อน
นาทีที่ 26 - ‘ราชันชุดขาว’ ตอบโต้คืนบ้างและเกือบได้เฮ เป็น คาริม เบนเซม่า ที่พลิกบอลอย่างสวยหน้าเขตโทษก่อนปั่นด้วยขวา บอลกำลังจะเสียบเสาอยู่แล้ว แต่ เมนดี้ โชว์ซูเปอร์เซฟ พุ่งปัดออกหลังเสียแค่ลูกเตะมุม
นาทีที่ 28 - พอทีมเยือนทำไม่ได้ เป็นฝ่ายเราที่ตอบโต้ทันที ก็องเต้ ทำชิ่ง 1-2 กับ แวร์เนอร์ แล้วไหลไปให้ ไค ฮาแวร์ตซ์ ทางซ้าย ก่อนเกมรุกชาวเยอรมันจะชิพบอลข้ามหัว คูร์กตัวส์ แต่ลอยไปชนคาน อย่างไรก็ตาม แวร์เนอร์ ตามไปเก็บตกด้วยการกระโดดโหม่งบอลจากระยะเผาขน พวกเราออกนำ 1-0!
นาทีที่ 35 - เรอัล มาได้ลุ้นประตูตีเสมอบ้าง เป็น เบนเซม่า หาจังหวะขึ้นโหม่งคนเดียวแบบไร้ตัวประกบ แต เมนดี้ ยังเหยียดมือปัดบอลออกไปได้อีกครั้ง
นาทีที่ 36 - เซอร์จิโอ้ รามอส โดนใบเหลืองจากการทำฟาวล์ใส่ เซซาร์ อัซปิลิเกวต้า
นาทีที่ 39 - อันเดรียส คริสเตนเซ่น โดนจดชื่อบ้างในจังหวะที่ไปย่ำตามน้ำใส่ เฟอร์ลาน เมนดี้
นาทีต่อนาที - ครึ่งหลัง
นาทีที่ 47 - เริ่มต้นครึ่งหลังมาครู่เดียว พวกเราเกือบยิงหนีห่าง โดย อัซปิ เปิดบอลจากทางขวาเข้าเขตโทษ ถึง ฮาแวร์ตซ์ ได้กระโดดโขกบอลผ่าน คูร์กตัวส์ ไปแล้วแต่ชนคานออกหลังอย่างน่าเสียดาย
นาทีที่ 51 - ฟรีคิกนอกกรอบเขตโทษทางฝั่งซ้ายของ เดอะ บลูส์ เป็น ชิลเวลล์ เปิดบอลเข้าไปแล้ว ธิอาโก้ ซิลวา สลัดการประกบของ รามอส เข้ามาโขกแต่ยังไม่แม่นพอ
นาทีที่ 53 - โอกาสของเชลซีมาอย่างต่อเนื่อง เมาท์ ชิงจังหวะจากความผิดพลาดของเกมรับมาดริด แล้วได้ซัดด้วยขวา ข้ามคานออกไปไม่ไกล
นาทีที่ 59 - เชลซีนวดทีมเยือนเรื่อย ๆ แล้วมาได้ลุ้นอีกครั้ง คราวนี้ ฮาแวร์ตซ์ หลุดไปดวลกับ คูร์กตัวส์ ก่อนแปด้วยซ้าย แต่ไปติดขาของนายทวารชาวเบลเยี่ยม พวกเราพลาดประตูหนีห่างเหลือเชื่อ
นาทีที่ 66 - จังหวะเกมรุกจากการสวนกลับของพวกเรา เป็น แวร์เนอร์ พาบอลมาแล้วรอจังหวะไหลออกซ้ายให้ ก็องเต้ ที่ได้เติมขึ้นมายิง แต่ไปติดบล็อค เฟเดริโก้ บัลเบร์เด้ เสียก่อน
นาทีที่ 67 - โธมัส ทูเคิ่ล เปลี่ยนเอา แวร์เนอร์ ออกจากสนามแล้วให้ คริสเตียน พูลิซิช ลงมาเล่นแทน
นาทีที่ 77 - เชลซี มีลุ้นอีกครั้ง เป็น พูลิซิช มีพื้นที่ก่อนครอสบอลเข้ากลางประตู แต่ไม่มีเพื่อนตามมาเล่นต่อได้
นาทีที่ 81 - ปีกชาวอเมริกันได้ลองยิงดูบ้างโดยเป็นการเล่นจังหวะเดียวกับ ก็องเต้ ก่อนหาพื้นที่แล้วซัดไปที่เสาไกล แต่บอลบดออกหลัง
นาทีที่ 85 - สาวกสิงห์บลูส์ได้เฮกันสุดเสียง เริ่มจาก ก็องเต้ ตัดบอลในแดนของคู่แข่ง ก่อนพาขึ้นไปเองแล้วจ่ายให้ พูลิซิช ทางขวา ปีกชาวอเมริกัน รอจังหวะอย่างใจเย็น แล้วเปิดเข้าในให้ เมาท์ ได้ยิงจ่อ ๆ ตุงตาข่าย สกอร์ขยับเป็น 2-0 รวม 3-1 คลายความกดดันออกไปได้หมด!
นาทีที่ 88 - ม้านั่งสำรองของเราขยับอีกครั้ง เป็น รีซ เจมส์ กับ ฮาคิม ซิเยค ลงเล่นแทน อัซปิลิเกวต้า และ เมาท์
นาทีที่ 90 + 4 - ทูเคิ่ล เปลี่ยนตัวเผาเวลา ส่ง โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ลงมาเล่นแทน ฮาแวร์ตซ์ สุดท้ายเกมจบลงด้วยสกอร์ 2-0 ส่งพวกเราเข้ารอบชิงชนะเลิศฟุตบอลยุโรปถ้วยใหญ่ เข้าไปเจอกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้!!!
นัดถัดไป?
คู่แข่งในรอบชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ ลีกของเรา คือคู่ต่อสู้ในเกมพรีเมียร์ ลีกนัดถัดไป โดยเชลซี ยกพลไปเยือนสนามเอติฮัดของแมนฯ ซิตี้ในวันเสาร์นี้
เชลซี (3-4-3): เมนดี้; คริสเตนเซ่น, ธิอาโก้ ซิลวา, รูดิเกอร์; อัซปิลิเกวต้า (c) (เจมส์ 88), ก็องเต้, จอร์จินโญ่, ชิลเวลล์; เมาท์ (ซิเยค 89), ฮาแวร์ตซ์ (ชิรูด์ 90+4), แวร์เนอร์ (พูลิซิช 67)ตัวสำรองไม่ได้ลงสนาม กาบาเยโร่, เกปา, อลอนโซ่, เอแมร์ซอน, ซูม่า, กิลมอร์, ฮัดสัน-โอดอย, อับราฮัมผู้ทำประตู แวร์เนอร์ 28, เมาท์ 85ใบเหลือง จอร์จินโญ่ 14, คริสเตนเซ่น 39, เมาท์ 87
เรอัล มาดริด (4-3-3): คูร์กตัวส์; นาโช่, มิลิเตา, รามอส (c), เมนดี้ (บัลเบร์เด้ 63); โมดริช, คาเซมิโร่ (โรดรีโก้ 76), โครส; วินิซิอุส (อเซนซิโอ้ 63), เบนเซม่า, อาซาร์ (มาริอาโน่ 89)ตัวสำรองไม่ได้ลงสนาม อัลตูเบ้, ลูนิน, โอดริโอโซล่า, มาร์เซโล่, มิเกล กูเตียร์เรซ, บลังโก้, อิสโก้, อาร์ริบาส, วิเอร่าใบเหลือง รามอส 36, นาโช่ 62, โครส 72, บัลเบร์เด้ 90
ผู้ตัดสิน ดานิเอเล่ ออร์ซาโต้ จาก อิตาลี