“เราต้องไม่เหลิงหรือประมาทมากเกินไป” นีล บาธ กล่าว แต่แม้ว่าเจ้าตัวจะยอมรับอย่างนั้น ช่วงเวลานี้ก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่พิเศษมากสำหรับอะคาเดมี่

ช่วงกลางเดือนกันยายนที่มิดแลนด์ สามดาวรุ่งชาวอังกฤษที่เซ็นสัญญากับเชลซีก่อนเรียนชั้นมัธยมต้น มีส่วนในการทำประตูในเกมพรีเมียร์ลีกที่ชนะ 5-2 ในสนามโมลินิวซ์

ไม่ถึงสองสัปดาห์ต่อมา หกนักเตะที่ปั้นจากค็อบแฮมลงเล่นในเกมลีก คัพนัดชนะกริมสบี้ ทาวน์ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ สองคนในนั้นทำประตูได้ และอีกสี่คนเป็นตัวสำรองที่ไม่ได้ลงสนาม ทำให้แฟนบอลเจ้าบ้านต่างก็มีความสุขที่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้ รวมถึงตัวชายผู้ดูแลเด็กๆ ในอะคาเดมี่มาตลอดเวลาหลายปี

นี่คือคืนที่พิเศษสุดๆ สำหรับนีล บาธ หัวหน้าฝ่ายพัฒนาเยาวชนตั้งแต่ปี 2011 เรียกได้ว่าเป็นชายที่มีความภูมิใจมากที่สุดในลอนดอนตะวันตก บาธทำงานพัฒนาดาวรุ่งให้เชลซีมายาวนานกว่า 25 ปีแล้ว

บาธเข้ามาร่วมทีมมาเป็นโค้ชพาร์ททามในตอนแรกที่ฮาร์ลิงตั้น 6 ปีก่อนที่เมาท์จะเกิด ทีมงานและนักเตะเข้ามาและย้ายออกไปหลายคน แต่เขายังคงทำหน้าที่ของตัวเองมาตลอด คิดค้นสิ่งใหม่ๆ ปรับปรุงและทำทุกอย่างให้ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง และเชื่อมั่นว่านักเตะที่เติบโตมากับทีมจะกลายมาเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของเชลซีได้เสมอ

“เมื่อคุณรู้จักนักเตะและครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก คุณจะเห็นได้เลยว่าพวกเขาทำงานกันมาหนักมากแค่ไหน เป็นความรู้สึกที่ตื้นตันมากเลยนะที่ได้เห็นเด็กๆ ลงสนามให้กับทีมใหญ่” บาธยอมรับ

“นั่นคือสิ่งที่เราทำงานกันมาตลอด 15 ปีตั้งแต่ที่สร้างอะคาเดมี่ใหม่ในปี 2004 หลายๆ คน ทั้งนักเตะ, ครอบครัว และทีมงาน ต่างก็ร่วมเดินทางมาด้วยกันอย่างยาวนาน การที่เรามีเด็กจากอะคาเดมี่ได้ขึ้นไปเล่น 4-5 คน มันทำให้เราภูมิใจมากเลยนะ”

อะคาเดมี่ของเชลซี : รางวัลจากการทำงานตลอด 15 ปี

ชายผู้มีแผนการทำงานระยะยาว ใช้เวลาค่อนชีวิตการทำงานไปกับเป้าหมายที่วางไว้ แรกเริ่มเขารับผิดชอบดูแลทีมชุดอายุ 8-16 ปี ที่สนามซ้อมฮาร์ลิงตั้น และที่แบ็ตเตอร์ซี ที่บาธเติบโตมา

ในช่วงแรกๆ เขาทำงานร่วมกับกลุ่มทีมงานชุดเล็กๆ ไม่กี่คน มุ่งเน้นที่การดึงเอาความสามารถที่ดีที่สุดออกมาจากดาวรุ่งในกรุงลอนดอน ในปี 2005 กลุ่มนักเตะที่มีอับราฮัมและโทโมรี รวมถึงโดมินิค โซลังกี้ได้ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ รวมจำนวนกันแล้วได้ 32 นัด

โครงการระยะเวลา 15 ปีของบาธช่วยพัฒนาและปรับปรุงระบบเยาวชนของเชลซีให้ดีขึ้นไปอีกขั้น ทำให้มั่นใจว่านักเตะที่มีพรสวรรค์จะได้อยู่ในที่ที่แวดล้อมด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกระดับโลก พร้อมทีมโค้ชและทีมงานคอยสนับสนุนตลอดการพัฒนาฝีเท้า

หลังจากนั้นตามมาด้วยการมีโรงเรียนในสนามซ้อม เช่นเดียวกับถ้วยรางวัล แต่บาธมักจะบอกเสมอว่าการคว้าถ้วยนั้นไม่ใช่ตัวชี้วัดความสำเร็จหลักของเขา

“เราชัดเจนอยู่ตลอดว่างานของเราไม่ใช่การคว้าแชมป์ถ้วยเยาวชนทุกปี แต่เป็นการพัฒนาและผลิดนักเตะที่ยอดเยี่ยมเพื่อเชลซีและพรีเมียร์ลีก” เขากล่าว

“เราประสบความสำเร็จในเรื่องนั้นมาตลอดเวลาหลายปี การได้เห็นนักเตะอย่างรูเบ็น ลอฟตัส-ชีค และแอนเดรียส คริสเตนเซ่นได้ขึ้นไปอยู่ในทีมใหญ่เป็นเรื่องที่ดี แต่ฤดูกาลนี้เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำจริงๆ”

“การที่เมสัน, แทมมี่, ฟิกาโย, คัลลัม และรีซได้เข้าร่วมทีมชุดใหญ่และมีส่วนสำคัญให้ทีมได้นั้นมันเหลือเชื่อมากเลยนะ”

“นอกจากนั้นเรายังได้เห็นการเดบิวท์ของบิลลี่ กิลมอร์, ติโน่ อันเจอริน, เอียน มัตเซ่น และมาร์ก เกอฮิด้วย ทุกคนได้รับโอกาสและคว้ามันไว้ได้ด้วยสองมือ ส่วนใหญ่แล้วเด็กๆ เหล่านี้อยู่กับเรามานานกว่า 10 ปี ดังนั้นคุณต้องรับรู้ถึงความทุ่มเทของตัวนักเตะและครอบครัวของพวกเขาตลอดการเดินทางจนถึงวันนี้ด้วย”

อิทธิพลจากแฟรงค์ แลมพาร์ด

แต่ทำไมถึงเป็นตอนนี้ล่ะ? เชลซีมีนักเตะมากพรสวรรค์หลายคนที่อยู่ในอะคาเดมี่แต่ไม่สามารถขึ้นไปเล่นในทีมใหญ่ได้ บาธยกเครดิจให้แฟรงค์ แลมพาร์ดที่เปลี่ยนแปลงแนวคิดนั้น ชื่นชมกุนซือคนปัจจุบันที่มีหลักการทำงานในการเชื่อมั่นในตัวนักเตะดาวรุ่ง ทุกคนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ช่วยของแลมพาร์ดอย่างโจดี้ มอร์ริส และโจ เอ็ดเวิร์ด

“การแต่งตั้งแฟรงค์เป็นเหมือนรากฐานในการสร้างโอกาสเหล่านี้ขึ้น เพราะเขาคือกุนซือที่เชื่อมั่นและให้โอกาสนักเตะที่สมควรได้รับ ไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็ตาม” บาธอธิบาย

“แฟรงค์พูดตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาคุมทีมว่าเขาจะดูที่นักเตะที่พร้อม, แสดงออกถึงคาแร็คเตอร์และความสามารถทั้งในการฝึกซ้อมและการแข่งขัน หลายคนบอกว่าการติดโทษแบนซื้อขายนักเตะทำให้เขาไม่มีทางเลือกมากนัก แต่นักเตะดาวรุ่งเหล่านี้ขึ้นไปอยู่ในทีมได้เพราะทุกคนสมควรได้โอกาสนี้จริงๆ”

ไม่ใช่แค่ระดับผลงานของนักเตะรุ่นเยาว์เท่านั้นที่น่าประทับใจ แต่ทัศนคติและความมุ่งมั่นในการซ้อม ตลอดจนพฤติกรรมทั้งในและนอกสนามเองก็เป็นสิ่งที่แลมพาร์ดยอมรับ บาธรู้สึกภูมิใจในความสำเร็จตลอดช่วงเวลา 15 ปีที่สร้างขึ้นมาที่ค็อบแฮม

“เราต้องตั้งเป้าไว้สูง เพราะเราอยากจะเป็นอะคาเดมี่ที่ดีที่สุดในโลก และเป็นตัวเลือกอันดับแรกสำหรับนักเตะและครอบครัว” บาธกล่าวต่อ “นี่คือเรื่องของการดันศักยภาพของนักเตะให้ถึงขีดสุด และยังพัฒนาให้เด็กๆ กลายเป็นคนที่ดีด้วยเช่นกัน”

“เมื่อทีมงานของทีมชุดใหญ่พูดคุยถึงดาวรุ่งทั้งหลายในฐานะคนธรรมดา การอ่อนน้อมและน่านับถือ, การทำงานหนักในทุกวันและการสร้างมาตรฐานในการฝึกซ้อม มันเหลือเชื่อมากที่ได้ยิน ถือเป็นกำลังใจที่ดีในการสร้างวัฒนธรรมของเรา”

“การให้ความเคารพนับถือ, การเป็นหนึ่งเดียวกัน และการทำงานหนักเป็นสิ่งที่เราคาดหวังจากทุกคน ความอ่อนน้อมเป็นส่วนสำคัญในวัฒนธรรมที่เราสร้างขึ้น บางครั้งมันยากที่จะหาจุดสมดุลที่เหมาะสมเมื่อขึ้นไปเล่นในระดับสูง แต่จิตใจที่มุ่งสู่ชัยชนะคือหัวใจหลักของการทะยานสู่ระดับท็อป”

“วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลานานในการสร้าง ไม่ใช่ว่าแค่ดีดนิ้วแล้วจะสร้างได้เลย คุณต้องยึดมั่นในคุณค่าของคุณ อยู่กับมันทุกวันและบางครั้งก็ต้องตัดสินใจเรื่องที่ยากเมื่อคุณมีคนที่แสดงคาแร็คเตอร์ผิดๆ ออกมา เพราะมันสะท้อนถึงทุกคนและทุกสิ่งในทีม เมื่อคุณมีวัฒนธรรมที่ดีแล้ว มันจะยิ่งง่ายขึ้น เพราะนักเตะและทีมงานต่างก็ทำให้สิ่งแวดล้อมในสโมสรตอบสนองความต้องการของทุกคนได้”

ความเชื่อมั่นในตัวเองของเมสัน เมาท์สะท้อนคุณค่าในวัฒนธรรมของสโมสร

นักเตะอะคาเดมี่มักจะเซ็นสัญญาระยะเวลาสองปี และมีสิทธิที่จะย้ายทีมพร้อมรับค่าชดเชยขั้นต่ำหากต้องการ เป็นการทำงานที่มุ่งเน้นในการพัฒนานักเตะและดึงดูดตัวดาวรุ่งเหล่านั้นในเวลาเดียวกัน”

ช่วงต้นปีที่ผ่านมา โทนี่ พ่อของเมาท์เผยว่าเขาพยายามเสนอช่องทางอื่นๆ ให้เมาท์ในตอนอายุ 15 ปี แต่ตัวเมาท์บอกว่า “ผมจะไม่ไปจากเชลซี นี่คือสโมสรของผม ผมอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ 6 ขวบแล้วและผมจะอยู่ไปจนถึงที่สุดเลย”

ปกติแล้วบาธยกเครดิตให้กับนักเตะที่เชื่อมั่นในตัวเอง แต่เขารู้ว่าการทำงานของทีมงานและสภาพแวดล้อมที่ทุกคนสร้างขึ้นนั้นเป็นส่วนสำคัญไม่แพ้กัน

“มันแสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้แค่พยายามดึงดูดนักเตะที่มีพรสวรรค์เท่านั้น แต่ยังเลือกที่จะรักษามันไว้ด้วย” บาธเผย “เมสันต้องการอยู่ต่อด้วยตัวเขาเอง พัฒนาและสู้มาตลอด ผมมั่นใจว่าครอบครัวของเขารู้สึกได้ว่าวัฒนธรรมที่เราสร้างขึ้นนั้นเป็นเหตุผลหลักๆ ในเรื่องนี้”

“มีคนมากมายที่มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ จิม เฟรเซอร์ (ผู้ช่วยหัวหน้าฝ่ายพัฒนาเยาวชน) และทีมงานต่างก็ทำงานกันมาอย่างหนักตลอดช่วงเวลาหลายปี”

การตัดสินใจของเมาท์ได้แสดงให้เห็นผลลัพธ์แล้ว เมื่อเขาเป็นกองกลางที่ลงสนามมากที่สุดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ ผลงานของดาวรุ่งวัย 20 ปี และเพื่อนร่วมอะคาเดมี่ในชุดใหญ่นั้นเป็นผลมาจากการทำงานหนักของบาธและทีมงาน ตลอดจนตัวนักเตะและครอบครัวเอง แต่ยังรู้สึกว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น

“ในตอนนี้เรามีแชมป์พรีเมียร์ลีกตั้งแต่อายุ U13 ไปจนถึง U16 ถือเป็นสัญญาณที่ดี แต่เราต้องมั่นใจว่าเด็กๆ ของเรานั้นมีคาแร็คเตอร์และความสามารถที่ดีพร้อมกับการเป็นนักฟุตบอล และเป็นเยาวชนที่ดี”

บาธไม่ต้องการพูดถึงความสำเร็จในปัจจุบันมากนัก และกำลังตั้งใจที่จะพัฒนาอะคาเดมี่ของทีมให้ดียิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ เขาและทีมงานกำลังมีงานที่ต้องทำกับนักเตะชุดต่อไปที่จะก้าวขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ในอนาคต”